วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

เฮติกินอะไร

กินดินประทังชีวิต ในประเทศเฮติ คุณรู้ไหมว่า ชาร์ลีน ดูมัส สาวน้อยผู้ยากจนที่อาศัยอยู่ในสลัมกรุงปอร์โตแปรงซ์ กินอะไรเป็นมื้อกลางวัน.. ถ้าได้ฟังคำตอบแล้วคุณอาจจะอึ้งด้วยความสลดใจ เพราะเธอต้อง กินดิน เป็นอาหารประทังชีวิต...
ราคาอาหารที่พุ่งขึ้นพรวดพราดทำให้คนยากจนในเฮติไม่สามารถแม้แต่จะหาข้าวเพียงแค่จานเดียวมาลูบท้องได้ บางคนเลยต้องดิ้นรนหาทางออกที่สิ้นหวังเพื่อเติมเต็มกระเพาะที่ว่างเปล่าชาร์ลีน สาวน้อยวัย 16 ซึ่งมีลูกชายอายุหนึ่งเดือนแล้วคนหนึ่ง ต้องหันมาพึ่งพิงวิธีประทังความหิวแบบโบร่ำโบราณของเฮติ นั่นคือ การกินคุ้กกี้ที่ทำด้วยดินเหลืองจากที่ราบสูงทางตอนกลางของประเทศดินชนิดนี้ถูกใช้เป็นยาลดกรดในกระเพาะ รวมถึงเป็นแหล่งแคลเซี่ยมของผู้หญิงท้อง และเด็กๆชาวเฮติมานมนานแล้ว แต่ในสถานที่หลายๆแห่ง อาทิ ในสลัมไซต์ โซลีลที่ชาร์ลีน และลูกน้อยอาศัยอยู่ในบ้านขนาด 2 ห้องร่วมกับพี่น้อง 5 คน และพ่อแม่ที่ตกงานอีก 2 คนแล้ว คุ้กกี้ที่ทำจากดิน เกลือ และผักชนิดนี้ได้กลายมาเป็นอาหารประจำวันไปแล้ว ชาร์ลีนบอกว่าเวลาที่แม่ของเธอไม่ได้ทำกับข้าว เธอต้องกินคุ้กกี้ดินเป็นอาหารวันละ 3 มื้อเลยทีเดียว ส่วนลูกน้อยของเธอที่ชื่อว่า ''วู้ดสัน'' นั้นนอนนิ่งอยู่บนตักของชาร์ลีน ดูผอมลงเล็กน้อยกว่าเมื่อช่วงแรกเกิดที่มีน้ำหนัก 2.8 กิโลกรัมเสียอีกถึงแม้ว่าเธอจะชอบรสชาติที่เหมือนเนยแล้วก็ออกเค็มของคุ้กกี้ชนิดนี้ แต่ชาร์ลีนบอกว่าคุ้กกี้ดินทำให้เธอปวดท้อง แถมเวลาที่เธอให้นม ''วูดสัน'' ก็ดูเหมือนว่าบางครั้งลูกน้อยก็จะมีอาการจุกเสียดด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ราคาอาหารในประเทศหมู่เกาะแถบทะเลแคริบเบียนบางแห่งนั้นพุ่งขึ้นมากถึง 40% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะน้ำท่วม ทำให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากฤดูเฮอร์ริเคนเมื่อปีที่แล้ว จนทำให้องค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ต้องประกาศภาวะฉุกเฉินในเฮติ และอีกหลายประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ทางด้านบรรดาผู้นำประเทศแถบแคริบเบียนเองก็ได้จัดการประชุมฉุกเฉินขึ้นในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาเพื่อหารือกันเรื่องลดภาษีอาหาร และสร้างฟาร์มประจำภูมิภาคขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดการพึ่งพิงสินค้านำเข้าที่ตลาดในสลัมลา ซาลิเนส ข้าว 2 ถ้วยวางขายกันอยู่ที่ 60 เซนต์สหรัฐ มีราคาเพิ่มขึ้นจากเมื่อเดือนธันวาคม 10 เซนต์ และเพิ่มขึ้นจากช่วงหนึ่งปีที่แล้วถึง 50% เลยทีเดียว ส่วนราคาถั่ว นมข้นหวาน และผลไม้ก็ขึ้นในอัตราเท่าๆกัน แม้แต่ราคาของดินที่กินได้ยังขยับขึ้นเกือบ 1.50 ดอลลาร์สหรัฐปัจจุบัน ราคาดินที่นำมาทำคุ้กกี้ 100 ชิ้นนั้นสูงถึง 5 ดอลลาร์ หรือเฉลี่ยชิ้นละประมาณ 5 เซนต์ก็ยังนับว่าถูกอยู่ดีเมื่อเทียบกับอาหารประเภทอื่น พ่อค้าจะขับรถบรรทุกขนดินจากเมืองฮินเช ทางภาคกลาง มายังตลาดแล้วพวกผู้หญิงก็จะซื้อดินไปทำคุ้กกี้ โดยจะแบกถังบรรจุดิน และน้ำขึ้นบันไดไปยังหลังคาตึกที่เคยเป็นคุกเก่ามาก่อน แล้วไปคลุกเคล้าส่วนผสม หยอดดินเป็นชิ้นคุ้กกี้ แล้วตากแดดที่ร้อนระอุจนแห้งสนิท คุ้กกี้ที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจะถูกจัดใส่ถังแล้วแบกกลับไปวางขายที่ตลาด หรือไม่ก็วางขายกันตามถนน นักข่าวที่ลองกินคุ้กกี้ดูพบว่าเนื้อเหนียวละมุน แต่จะดูดเอาความชื้นทั้งหมดภายในปากออกมาทันทีที่ลิ้นแตะชิ้นคุ้กกี้ แถมรสชาติอันไม่พึงประสงค์ของดินจะยังอบอวลอยู่ในปากต่อไปเป็นเวลานานหลายชั่วโมงเลยทีเดียวสำหรับเรื่องของผลกระทบจากการกินคุ้กกี้ดินนั้น ผลการประเมินออกมาหลากหลายมาก เจอรัลด์ เอ็น คัลลาฮาน ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบภูมิคุ้มกันจากมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโดในสหรัฐซึ่งศึกษาเรื่องการกินดินเป็นอาหารกล่าวว่า ดินอาจมีปรสิตหรือสารพิษที่ทำให้ถึงตายได้ แต่ก็อาจทำให้ภูมิคุ้มกันโรคบางชนิดของทารกในครรภ์แข็งแรงขึ้นได้เช่นกัน ขณะที่แพทย์ชาวเฮติเองกล่าวว่าการกินคุ้กกี้ดินเป็นอาหารอาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารได้ แต่ชาวเฮติก็โต้ว่า ''ฉันหวังว่าซักวันหนึ่งจะมีอาหารพอกิน จะได้หยุดกินดินพวกนี้เสียที ฉันรู้หรอกน่าว่ามันไม่ดีต่อตัวเอง''พูดง่ายๆก็คือไม่มีใครอยากกินดินกันหรอก แต่พวกเขามีทางเลือกอื่นนอกจากนี้หรืออย่าลืมทานข้าวให้หมดจานนะคะ
วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การผลิตก๊าซชีวภาพใช้เอง

การผลิตก๊าซชีวภาพใช้เอง

ก๊าซแพง เกษตรกรพะเยา ผลิตก๊าซชีวภาพใช้เอง
เชื้อเพลิงที่เราใช้ประกอบอาหารส่วนใหญ่ก็คือ ก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซแอลพีจี เป็นก๊าซที่ได้จากธรรมชาติ เป็นผลผลิตจากปิโตรเคมี ที่เราทราบกันดีแล้วว่าเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ประเทศไทยจะมีแหล่งก๊าซธรรมชาติของเราเอง แต่ก็มีอยู่ไม่มาก ทุกวันนี้เราเองต้องสั่งซื้อก๊าซจากต่างประเทศเข้ามาใช้กันแล้ว สภาวการณ์เช่นนี้ ก๊าซชีวภาพน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่ง ที่เราน่าจะเริ่มนำมาใช้กันอย่างจริงจัง นับแต่วันนี้ เพราะสามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้ในการหุงต้มแทนก๊าซแอลพีจี ได้อย่างสบาย
ก๊าซชีวภาพที่ผลิตขึ้นจากการหมักมูลสัตว์ มูลคน และขยะเหลือทิ้งที่ย่อยสลายได้จากครัวเรือนและชุมชน โดยการหมักในสภาพแวดล้อม เช่น ถังหมักหรือบ่อที่ไร้อากาศ จุลินทรีย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะเปลี่ยนอินทรียวัตถุเหล่านี้ให้กลายเป็น ก๊าซชีวภาพที่มีคุณสมบัติติดไฟ สามารถนำไปใช้เป็นพลังงานให้ความร้อน ใช้หุงต้ม ให้แสงสว่าง หรือใช้เดินเครื่องจักรเครื่องยนต์ได้
ส่วนใหญ่การทำบ่อหมักก๊าซชีวภาพของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ก็เพื่อแก้ปัญหามูลสัตว์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่งกลิ่นเหม็น และส่งผลเสียต่อสภาพแวดล้อม ได้ก๊าซชีวภาพเป็นผลพลอยได้ ในปัจจุบันก๊าซธรรมชาติกำลังขาดแคลนและมีราคาสูง ก๊าซชีวภาพจึงน่าจะกลับมามีบทบาทที่สำคัญในการแก้ปัญหาในเรื่องพลังงาน ถังหมักหรือบ่อหมักก๊าซชีวภาพมีหลายรูปแบบ และหลายขนาด ตั้งแต่ถังขนาดเล็กที่สามารถทำใช้เองในครัวเรือน ไปจนถึงบ่อถาวรขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นใช้ในชุมชน แต่ที่สำคัญเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพนี้มีข้อดีที่ทุกคนสามารถทำขึ้นใช้เอง ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหาขยะที่มีมากขึ้นจนเป็นปัญหาให้ลดลง จึงช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมไปในตัว รวมทั้งได้ผลพลอยได้ที่เป็นปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพที่สามารถนำไปใช้เป็น ปุ๋ยปลูกพืชปลอดสารเคมีได้เป็นอย่างดี
คุณลุงเสาร์แก้ว ใจบาล อยู่บ้านเลขที่ 139 หมู่ที่ 4 ตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา และ คุณลุงเจริญ คำโล อยู่บ้านเลขที่ 75 หมู่บ้านเดียวกัน อ่านเจอจากหนังสือ ก็ใคร่ครวญตรึกตรองกันอยู่นาน คิดอยู่ว่ามันจะเกิดก๊าซจริงหรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เลยตัดสินใจชวนกันทำดู ไปซื้อวัสดุ ซึ่งประกอบไปด้วย
ส่วนประกอบของถังหมักและถังเก็บก๊าซชีวภาพ
ถังพลาสติคปิดฝา ขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ใบ ทำหน้าที่ในการบรรจุมูลสัตว์และเศษอาหารเพื่อย่อยสลายจนเกิดก๊าซ โดยมีช่องใส่วัตถุดิบ ท่อน้ำล้นเพื่อควบคุมปริมาตรภายใน และท่อระบาย ด้านบนจะมีสายยางต่อเพื่อลำเลียงก๊าซที่ผลิตได้ไปสู่ถังเก็บ
ถังพลาสติคเปิดฝาบน ขนาด 200 ลิตร จำนวน 1 ใบ เป็นถังเก็บก๊าซถังหงาย โดยจะตั้งหงายเพื่อบรรจุน้ำสำหรับเป็นตัวกันไม่ให้ก๊าซรั่วออกนอกถังเก็บ ถังจะตั้งหงายเพื่อให้ถังใบเล็กอีกถังครอบ ในส่วนของคุณลุงเสาร์แก้ว ดัดแปลงใช้วงบ่อซีเมนต์ ขนาด 80 เซนติเมตร 2 วง ฉาบปูนแทน
ถังพลาสติคเปิดฝาบน ขนาด 120 ลิตร จำนวน 1 ใบ เป็นถังเก็บก๊าซถังคว่ำ โดยจะตั้งคว่ำลงภายในถังเก็บก๊าซ ขนาด 200 ลิตร หรือวงบ่อที่ใส่น้ำ ทำหน้าที่เป็นตัวกักก๊าซไว้โดยตัวถังจะลอยขึ้นเมื่อก๊าซถูกลำเลียงมาจากถัง หมัก ด้านบนจะมีท่อลำเลียงก๊าซไปจุดใช้งานต่อไป ก่อนจะเริ่มใช้งานให้ใส่น้ำลงไปในถังใบที่ 2 ถังเก็บก๊าซถังหงายให้เต็ม แล้วสวมถังใบที่ 3 หรือถังเก็บก๊าซถังคว่ำลงในถังใบที่ 2 ให้จมลงไปในน้ำพอดีก้นถัง ต่อสายยางจากถังหมักมายังถังเก็บก๊าซ และต่อสายยางจากถังเก็บก๊าซไปยังเตาแก๊สเพื่อไว้ใช้งานต่อไป
ส่วนประกอบสำหรับท่อน้ำล้นและท่อระบายของถังหมักก๊าชชีวภาพ
ข้อต่อเกลียวนอก ขนาด 1 นิ้ว 1 อัน
ข้องอเกลียวใน ขนาด 1 นิ้ว
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดยาว 2 นิ้ว 1 อัน
3 ทาง ขนาด 1 นิ้ว 2 อัน
ฝาปิดพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว 1 อัน
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดประมาณ 40 เซนติเมตร 1 อัน
ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ตัดประมาณ 30 เซนติเมตร 1 อัน
ส่วนประกอบสำหรับช่องเติมและท่อส่งก๊าซของถังหมัก
ท่อพีวีซี ขนาดยาว 1 เมตร เจาะช่องกลางท่อ ขนาดกว้าง 0.5 ของท่อ และยาว 15 เซนติเมตร ตัดให้ช่องห่างจากปากท่อ 32 เซนติเมตร
ข้องอเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 1 อัน
หัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 1 อัน
ส่วนประกอบสำหรับท่อนำก๊าซของถังเก็บก๊าซ
3 ทาง ขนาด 4 หุน 1 ตัว
หัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน 2 อัน
ส่วนประกอบปลีกย่อยอื่นๆ
กิ๊บยึดท่อ ขนาด 1 นิ้ว 1-2 อัน
กาวซีเมนต์ (กาวแห้งเร็ว 2 หลอดคู่) 1 ชุด
กาวซิลิโคลน ชนิดใส 1 หลอด
สายยาง 3 หุน ยาว 5 เมตร 1 เส้น
วิธีการประกอบถังหมักก๊าซชีวภาพ
นำ ถังใบที่ปิดสนิทเจาะรูขนาดเท่ากับเกลียวของข้อต่อเกลียวนอก 4 หุน บริเวณที่เรียบๆ บนฝาถัง เจาะรูถังขนาดเท่าเกลียวนอกของข้อต่อตรงขนาด 1 นิ้ว เจาะบริเวณข้างถังสูงจากก้นถังประมาณ 3 นิ้ว เนื่องจากฝาถังหมักปิดสนิทต้องใช้แท่งพีวีซี ติดข้อต่อเกลียวนอก ขนาด 1 นิ้ว ไว้ที่ปลาย แล้วแยงจากช่องเติมอาหารผ่านไปติดที่ข้างถังด้านใน โดยให้ปลายเกลียวพ้นรูถังออกมา ทากาวบริเวณที่พ้นผ่านรูออกมา และทากาวที่ปากท่อข้องอเกลียวใน 1 นิ้ว จึงนำมาประกอบกัน ในส่วนของส่วนประกอบท่อน้ำล้น โดย 3 ทางตัวบน ต้องสูงได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของตัวถัง จากนั้นยึดด้วยกิ๊บยึดท่อก็เป็นอันเสร็จในส่วนท่อน้ำล้น จากนั้นนำข้องอเกลียว ขนาด 4 หุน มาทากาวที่ปากท่อหมุนเกลียวเข้ารูที่ใช้ลำเลียงก๊าซด้านบนของถังหมัก และติดหัวต่อสายเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ที่ข้องอเพื่อจะใช้ต่อสายยางต่อไป ประกอบท่อพีวีซี 3 นิ้ว ส่วนที่เป็นที่เติมวัตถุดิบด้านบนของถัง โดยหย่อนลงในถังด้านบนที่เจาะรูไว้ หันช่องเติมที่เจาะเข้าด้านในถัง ทากาวขอบท่อให้ทั่วเพื่อกันอากาศเข้า
วิธีการประกอบถังเก็บก๊าซชีวภาพ
เจาะ รูที่ก้นถังพลาสติคขนาด 120 ลิตร 1 รู ขนาดเท่ากับเกลียวของข้องอเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ติด 3 ทาง ขนาด 4 หุน ที่ก้นถังด้านนอกอัดกาวให้ทั่ว ใช้เกลียวหมุนให้แน่น ต่อหัวต่อสายยางเกลียวนอก ขนาด 4 หุน ทั้ง 2 ด้าน ของรู 3 ทาง จากนั้นต่อสายยาง ขนาด 3 หุน เข้าหาถังหมัก และถังเก็บก๊าซความยาวตามต้องการ
การใช้งานถังหมักก๊าซชีวภาพ
วัตถุดิบ
1. มูลสัตว์
2. น้ำ
3. เศษอาหาร
ขั้นตอนการหมักก๊าซชีวภาพ
นำมูลสัตว์แห้งหรือเปียกผสมกับน้ำแล้วใส่ลงไปในถังหมักปริมาตร 25 เปอร์เซ็นต์ของตัวถัง ใช้ท่อพีวีซี กระทุ้งให้มูลสัตว์กระจายตัวให้ทั่วถึง หมักมูลสัตว์ที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในถังประมาณ 10-15 วัน หลังจากนั้น เติมน้ำลงไปให้ถึงระดับ 75 เปอร์เซ็นต์ของถัง ซึ่งจะอยู่ที่ระดับน้ำล้นของถัง แล้วจึงสามารถเติมเศษอาหารหรือมูลสัตว์เพื่อผลิตก๊าซต่อไปได้ ในระยะแรกเติมวัตถุดิบแต่น้อยทุกวันที่มีการใช้ก๊าซประมาณ 1-2 กิโลกรัม แต่ไม่ควรเกิน 4 กิโลกรัม ต่อวัน เมื่อใช้ไปนานๆ สามารถเติมได้มากขึ้น แต่ไม่เกิน 10 กิโลกรัม เมื่อเติมลงช่องให้ใช้ท่อพีวีซี กระทุ้งขึ้น-ลงให้เศษอาหารกระจายตัว กระบวนการย่อยเพื่อผลิตก๊าซจะใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง เมื่อมีก๊าซเกิดขึ้น ชุดถังเก็บก๊าซที่คว่ำอยู่จะเริ่มลอย ก๊าซที่เกิดมาชุดแรกให้ปล่อยทิ้งก่อนเพราะจะจุดไฟไม่ติดหรือติดยาก เพราะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มาก เมื่อหมักจนเกิดก๊าซตั้งแต่ถังที่ 2 ต่อไปจึงสามารถจุดไฟใช้งานได้
การดูแลรักษา
เมื่อ ใช้งานจนถึงช่วง 7 เดือน ถึง 1 ปี ให้ปล่อยกากออกทางช่องระบาย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากเมื่อเติมมูลสัตว์หรือเศษอาหารเข้าไปแล้วไม่ค่อยล้น แสดงว่ามีเศษไปตกตะกอนอุดตัน หรือดูได้จากอัตราการเกิดก๊าซน้อยลง แสดงว่ามีการอุดตันเช่นเดียวกัน ไม่ควรใส่เศษอาหารเปรี้ยวในถังหมักเพราะจะทำให้แบคทีเรียไม่ทำงาน เนื่องจากค่าความเป็นกรดด่างไม่เหมาะสม ในถังเมื่อมีค่ากรดเกินไปจะสังเกตได้จากการเกิดก๊าซน้อย และพยายามอย่าให้ถังกระทบกระเทือนมากเพราะกาวจะกะเทาะออกได้จนเกิดการรั่ว เมื่อเกิดก๊าซให้ตรวจสอบรอยรั่วและสามารถใช้กาวทาซ่อมได้
ข้อเด่นของ ก๊าซแอลพีจี ที่เราใช้กันอยู่จนเคยชินคือ เรื่องแรงดันของก๊าซ ความร้อนของไฟ และการที่สามารถบรรจุในถังก๊าซได้ ซึ่งก๊าซชีวภาพที่เราผลิตจากมูลสัตว์และเศษอาหารในชุดถังหมักนี้จะมีแรงดัน ต่ำกว่าก๊าซแอลพีจี จึงต้องมีการปรับรูเตาแก๊สให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือใช้วิธีเพิ่มน้ำหนักกดทับด้านบนของถังเก็บก๊าซหรือทำโครงเหล็กกดถังเก็บ ก๊าซ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดแรงดันก๊าซชีวภาพที่มากขึ้น
คุณลุงเสาร์ และคุณลุงเจริญ แห่งตำบลบ้านตุ่น อำเภอเมืองพะเยา พูดถึงเรื่องก๊าซว่า นับวันก๊าซแอลพีจี มีแต่ราคาจะแพงขึ้น แหล่งก๊าซธรรมชาติก็เริ่มหมดไป ชีวิตในเมืองที่ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเช่น ไม้ที่จะนำมาเผาถ่านก็มีน้อย การพึ่งก๊าซธรรมชาติจากถังบรรจุที่จำหน่ายอยู่ทั่วไปอย่างเดียวก็คงเป็นทาง เลือกที่บั่นทอนค่าใช้จ่ายในครัวเรือน เพราะไม่สามารถควบคุมราคาได้ การนำทางเลือกอื่น อย่างเช่น ก๊าซชีวภาพมาใช้จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้พึ่งตนเองได้ เปลี่ยนขยะ หรือมูลสัตว์ ที่หากทิ้งไว้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน สู้นำมาผลิตเป็นพลังงานทดแทนใช้ในครัวเรือน
เป็นการแก้ปัญหาในหลายๆ สิ่ง เมื่อหมักเสร็จแล้วเศษที่เหลือก็สามารถนำไปเป็นปุ๋ยให้กับแปลงพืช หรือหญ้าที่ปลูกไว้อีกด้วย
คุณ ลุงทั้งสองคนบอกว่า ยังอยากจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนที่มีแนวทางเดียวกัน สนใจจะมาดูของจริงเชิญที่บ้านได้เลย หรือใครที่ทำได้ดีกว่านี้คุณลุงทั้งสองบอกว่า ขอช่วยส่งข่าวให้ด้วยเพื่อจะได้ตามไปดูแล้วนำมาปรับปรุงของพวกเรา หากจะโทรศัพท์คุยกันเชิญที่โทร. (054) 423-228
การุณย์ มะโนใจวันที่ 01 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 21 ฉบับที่ 442
วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หลักการดูแลผู้ป่วยเบาหวานตามแนวทางชีวจิต

ถาม :
ขอทราบหลักการดูแลผู้ป่วยเบาหวานตามแนวทางชีวจิต
ตอบ :
[เรื่องเล่ากรณีหลวงพ่อสอ]
หลวงพ่อสอเป็นคนไข้แบบไปๆมาๆ มารักษาที่ศูนย์ชีวจิตเป็นประจำกว่า 3 ปีแล้ว เมื่อวานนี้เองท่านมาหาอีก หน้าตาซีดเซียว ดูแล้วน้ำหนักลดไปหลายกิโล ท่านเดินกระโผลกกระเผลก มาถึงก็นั่งล้มแผละ เหมือนคนไม่มีแรง พูดอยู่อย่างเดียวว่าแย่แล้ว ปวดไปหมดทั้งตัว
เมื่อ 3 ปีก่อน หลวงพ่อมาหาผมด้วยโรคประจำตัว คือ เบาหวาน และที่ท่านบ่นมากก็คือ ความดันโลหิตสูง และปวดหัวเป็นประจำ ท่านไม่รู้ว่าเรื่องความดันโลหิตสูง และปวดหัวเป็นประจำนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเบาหวานโดยตรง ท่านคิดว่าท่านป่วยด้วยโรคหลายโรค โรคหัวใจ โรคปวดเข่า ปวดหลัง ปวดข้อเท้า โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน แถมตอนหลังนี้ยังมีเรื่องต่อมลูกหมากด้วย เมื่อท่านมาหาครั้งแรก ท่านมีความรู้สึกว่าสุขภาพของท่านแย่แล้ว ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ท่านพูดเป็นเชิงรำพึงว่าคงจะอยู่ไปได้ไม่นาน ตอนนั้นท่านอายุ 77 ปีแล้ว ก่อนจะบวชทราบว่าท่านเป็นข้าราชการชั้นสูง พอเกษียณอายุได้ไม่นานท่านก็ตัดสินใจออกบวช ตั้งใจว่าจะบวชไม่สึก และท่านชอบวัดที่อยู่ต่างจังหวัด อยู่ตามป่าตามเขา ท่านบวชแล้วก็ไปอยู่ประจำที่วัดป่าตลอด
เรื่องเบาหวานเราแก้ไขตามวิธีชีวจิต แรกๆให้กินยาเบาหวานไปตามเดิมก่อน และเมื่อท่านเริ่มควบคุมอาหารได้ดี เราก็เพิ่มยากลุ่มวิตามิน-แร่ธาตุให้กับท่าน พร้อมกันนั้น อาการข้างเคียงของเบาหวานอย่างเช่นปวดตามข้อ ปวดหลัง ปวดเอว เราแก้ไขด้วย ส่วนเรื่องต่อมลูกหมากเราส่งท่านไปให้หมอยูโรจัดการ ซึ่งก็แก้ไขได้ไม่ยาก เพราะหลวงพ่อท่านปฏิบัติตัวแบบพื้นฐานชีวจิตดีอยู่แล้ว พื้นฐานชีวจิตนั้นถ้าปฏิบัติตัวได้สมบูรณ์มั่นคงจะทำให้โรคต่างๆบรรเทาลงได้ตามแนวธรรมชาติ
เรื่องอาหารสำหรับหลวงพ่อซึ่งเป็นพระนั้นค่อนข้างจะมีปัญหา เพราะท่านต้องฉันอาหารจากการบิณฑบาต ซึ่งเลือกอาหารไม่ได้ ชาวบ้านใส่บาตรอย่างไรมาก็ต้องฉันอย่างนั้น การควบคุมเบาหวานจึงเป็นเรื่องยาก และโรคอื่นๆเช่น ปวดข้อ ปวดหัว ความดันโลหิตสูง ก็เลยกลายเป็นเรื่องยากแก่การรักษาตามไปด้วย
ปัญหายากอีกอย่างหนึ่งก็คือวัดที่ท่านอยู่นั้น ตั้งอยู่บนเขา ห่างไกลจากหมู่บ้านหลายกิโล ท่านต้องเดินขึ้นเขา ลงเขา อยู่ทุกวัน เข่า ข้อเท้า กระดูกสันหลังซึ่งเจ็บปวดเพราะอาไทรทิสอยู่แล้ว ก็ยิ่งอักเสบ และยิ่งปวดมากขึ้น
ผมจึงขอร้องญาติๆของหลวงพ่อว่าจะจัดให้ท่านมาพักในเมืองไม่ต้องขึ้นเขาทุกวันได้ไหม ถ้าทำได้รับรองว่าการรักษาจะได้ผลดีขึ้นอย่างแน่นอน ญาติๆ ก็ตกลงตามนั้นและยังช่วยกันทำอาหารให้ท่านฉันเองด้วย อาหารตามสูตรชีวจิตจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับท่านอีกต่อไป
นอกไปจากนั้นรู้สึกว่าวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อที่ฉันแบบพระกรรมฐานคือฉันเพียงมื้อเช้ามื้อเดียวไม่พอเพียงกับการเป็นตัวช่วยในการรักษาตัวของท่านได้ จึงขอร้องท่านว่าท่านยังเป็นพระอาพาธอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้ฉันอาหารสองมื้อคือมื้อเช้ากับมื้อเพล ท่านก็ยอมทำตามนั้น
เพราะฉะนั้นการรักษาหลวงพ่อจึงได้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ น้ำหนักของท่านเพิ่มขึ้น อ้วนท้วนแข็งแรง เบาหวานของท่านหาย น้ำตาลในเลือดลดลงเป็นปกติ การปวดข้อต่อ ปวดหลัง ปวดเอว และปวดเข่าหายไป ในขณะเดียวกันท่านก็บอกว่ารู้สึกตัวเองเหมือนเป็นคนใหม่ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ต้องขอประทานโทษ สำหรับท่านผู้อ่านบางท่านที่ไม่รู้จักหลักวิชาการในเรื่องชีวจิตดี อาจจะนึกว่าผมกำลังอวดโอ้คุยโม้ยกตัวเอง แต่ความจริงนั้นมีอยู่ว่าเรื่องของ Immune System นั้นเป็นเรื่องวิชาการที่พิสูจน์ได้จริง เคยปรับปรุงสุขภาพและการรักษาคนไข้หลายต่อหลายราย แม้แต่รายที่ป่วยหนักอย่างเช่นเป็นมะเร็งและโรคหัวใจนั้น เราก็ใช้หลักการรักษาโดยเอาเรื่อง Immune System เป็นหลักใหญ่
ท่านมาที่ชีวจิตเพียง 2-3 ครั้ง ท่านก็ดีขึ้นจนดูเป็นคนละคน ท่านก็มาถามว่าจะขอขึ้นไปอยู่วัดบนเขาได้หรือยัง ผมเห็นสภาพของร่างกายท่านดีขึ้น และในขณะเดียวกันถ้าท่านได้ไปจำศีลภาวนาบนเขาอากาศก็จะดี บรรยากาศสงบเงียบ และท่านก็จะได้ออกกำลังกายขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำทุกวันด้วย ก็เลยสนับสนุนท่านว่าท่านคงจะแข็งแรงดีกว่าเก่า ถ้าได้ขึ้นไปอยู่บนเขา
สิ่งหนึ่งซึ่งผมได้ศึกษาและจากประสบการณ์ซึ่งได้เคยทำโปรแกรมให้คนไข้เบาหวานก็คือ
คุมอาหารให้ได้
ออกกำลังกายเต็มที่
ใช้ยาประเภทวิตามินและแร่ธาตุ
ให้ยากลุ่มกระตุ้น Immune System ให้แข็งแรงขึ้น
ทั้ง 4 หลักนี้เคยได้ผลอย่างดีสำหรับคนไข้เบาหวานแทบทุกคน การที่หลวงพ่อได้ขึ้นเขาลงเขาจะช่วยให้ท่านต้องออกกำลังกายทุกวัน ซึ่งเป็น(ยา)ตัวหลักของการรักษาเบาหวาน ผมจึงสนับสนุนเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นห่วงเรื่องอาหารว่าท่านคงต้องใช้อาหารจากการบิณฑบาตอย่างเดียว และอาหารท่านก็เลือกไม่ได้ เรื่องเบาหวานก็คงแก้กันไมได้ถ้าคุมอาหารไม่ได้ เมื่อปรึกษาพวกญาติๆของหลวงพ่อดู ทุกคนก็เต็มใจที่จะจัดอาหารตามสูตรให้หลวงพ่อและให้อาหารเป็นสองมื้อเหมือนกับตอนหลวงพ่อกำลังรักษาตัวแบบเข้มงวดด้วย ผมก็พอใจคิดว่า การรักษาหลวงพ่อคงเป็นไปได้อย่างดีแน่นอน
ก็จริงตามที่คาดไว้ เพราะพอหลวงพ่อได้ขึ้นไปอยู่บนเขา และได้ปฏิบัติตัวตามสูตรชีวจิตอย่างเคร่งครัด ท่านก็ยิ่งดีขึ้น แข็งแรงขึ้น เรียกว่าแข็งแรงสมบูรณ์ขึ้นทั้งกายและใจทีเดียว

การบริโภคผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ

การบริโภคผักให้ปลอดภัยจากสารพิษ
ผักเป็นอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ประกอบด้วยเซลลูโรสจำนวนมาก ซึ่งมีประโยชน์ช่วยในการขับถ่ายทำให้ไม่เป็นโรคท้องผูก และที่สำคัญในผักมีวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินซี ช่วยบำรุงเหงือกและฟัน และสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับร่างกาย
แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคมักประสบปัญหาสารตกค้างในพืชผัก อันเนื่องมาจากการใช้สารเคมีป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่ไม่ถูกต้องไม่เหมาะสม และไม่ระมัดระวังของเกษตรกรผู้ผลิต ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนผู้บริโภค ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรพิจารณาเลือกซื้อผักที่ปลอดภัยจากสารพิษ เช่น ผักที่ได้รับรองจากหน่วยราชการ หรือองค์กรต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการที่ทำให้สารพิษตกค้างในผักลดน้อยลง เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภคด้วยวิธีการต่างๆ ก่อนนำประกอบอาหารรับประทาน ดังนี้
วิธีล้างผักให้สะอาดเพื่อลดปริมาณสารพิษ
1. ลอกหรือปอกเปลือก แล้วแช่น้ำสะอาดนาน 5-10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 27-72
2. แช่น้ำปูนใส นาน 10 นาที จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 34-52
3. การใช้ความร้อน ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 48-50
4. แช่น้ำด่างทับทิม นาน 10 นาที (ด่างทับทิม 20-30 เกล็ด) ผสมน้ำ 4 ลิตร) ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 35-43
5. ล้างด้วยน้ำไหลจากก๊อก นาน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-39
6. แช่น้ำซาวข้าว นาน 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 29-38
7. แช่น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น(น้ำส้มสายชูหรือเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 4 ลิตร)และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 29-38
8. แช่น้ำยาล้างผัก นาน 10 นาที และล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งลดปริมาณสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 22-36
ข้อมูลโดย ฝ่ายตรวจวิเคราะห์สารเคมีและบริการเครื่องมือ กองป้องกันและกำจัดศัตรูพืช กรมส่งเสริมการเกษตร โทร. 561-4663

ระวัง! สารพิษในอาหาร

หลังจากข่าวของไดออกซิน (Dioxin) ที่แพร่ระบาดเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ไดออกซิน มีมาให้ผู้บริโภค ได้รับรู้กันอย่างทั่วหน้า อันที่จริงแล้ว สารพิษที่ปะปนอยู่ในอาหาร ไม่ได้มีเพียง ไดออกซิน เท่านั้น ยังมีอีกหลายสาร ที่ยังคงอยู่ในอาหาร รอผู้บริโภคกินเข้าไป ด้วยความไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ระวัง เช่น ดินประสิว หรือ กรดไนตริก บอแรกซ์ กรดซิตริค เป็นต้น ซึ่งในขณะเดียวกัน เป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่สารพิษบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง ได้มีผู้ระมัดระวัง ด้วยการล้างผักด้วยด่างทับทิม น้ำส้มสายชู หรือบางรายหันไปบริโภค "ผักปลอดสารพิษ" เลยก็มี
บทความนี้จึงนำเสนอในส่วนของอาหารหลายชนิดที่มีสารพิษปะปนอยู่ ความรุนแรง ของการได้รับ สารพิษ ไม่ได้ด้อยไปกว่า การรับยาฆ่าแมลง
หรือไดออกซินเข้าสู่ร่างกายเลย อันตรายของสารพิษ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย แบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ พิษเฉียบพลัน เป็นการรับสารพิษมาในปริมาณมาก ช่วงเวลาสั้น จึงทำให้เกิด อาการรุนแรงถึงตายได้ ลักษณะพิษเฉียบพลันนี้ จึงไม่ปรากฏ ให้เห็นมากนัก ในการบริโภคอาหาร ลักษณะที่สองคือ พิษสะสม เป็นการรับสารพิษ ในปริมาณน้อย แล้วไปสะสมในร่างกาย เมื่อมีปริมาณมากพอ จึงค่อยออกอาการ ลักษณะพิษ สะสม จึงเป็นลักษณะ ที่พึงระวังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการบริโภคอาหาร ซึ่งเป็นการรับสารพิษ ไปสะสมในร่างกาย ทีละน้อย โดยที่ผู้บริโภคเองไม่ระวังตัว กว่าจะรู้พิษที่สะสม ได้กลายเป็น โรคต่างๆ เช่น มะเร็ง เป็นต้น ผู้บริโภคจึงควรระวังสารพิษเหล่านี้อย่างมาก หากทำได้ควรละเว้น อาหารที่จะมีสารพิษเหล่านี้ ปะปนอยู่ อาหารปิ้ง-ย่าง-ไดออกซินและฟูแรนส์อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน
เรียกได้ว่าเป็นอาหารอันโอชะเหลือหลายแต่ก็นำซึ่งอันตรายอยู่ด้วย ไดออกซิน ที่มีผู้กลัวนักหนา มีมาจากอาหาร ประเภทนี้เหมือนกัน แล้วยังมีฟูแรนส์ สารพิษ อีกชนิดหนึ่ง เป็นของแถม อาหารปิ้งย่างเหล่านี้ เมื่อโดนความร้อนสูง จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ปฏิกิริยาเคมีขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูป โมเลกุล ของสารไขมัน ที่มีลักษณะเป็นสายยาว และต่อกัน เป็นวงก็คือ ไดออกซินและฟูแรนส์นั่นเอง ชื่อเต็มของไดออกซิน คือ Polychlorinated Dibenzo dioxins (PCDD) ซึ่งมีลักษณะเป็นวงแหวน ๓ วง เป็นวงแหวน เบนซิน ๒ วง และวงแหวน ที่มีมีออกซิเจน ๑ คู่อีก ๑ วง ส่วนฟูแรนส์คือ Poly Chlorinated Dibenzofuran (PCDF) มีลักษณะ โครงสร้าง เหมือนไดออกซิน นอกจากวงแหวน ที่มีออกซิเจนนั้น มีออกซิเจนเพียง ๑ อะตอม
เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งไดออกซินและฟูแรนส์มีส่วนประกอบทางไฮโดรคาร์บอน และสารประกอบ คลอรีน ทั้งสองสาร ซึ่งนี่แหละคือต้นกำเนิดของการเกิดมะเร็ง
น้ำมะนาว-กรดซิตริคน้ำมะนาวที่เอ่ยถึงในที่นี้คือน้ำมะนาวเทียม ซึ่งมีสีสันเหมือนน้ำมะนาวจริงและบรรจุขวดขาย นิยมใช้ โดยทั่วไป กับส้มตำ รวมไปถึงอาหารรสแซ่บ ๆ ทั้งหลายไม่ว่า จะเป็นต้มยำ สิ่งที่พึงระวังคือ น้ำมะนาวเทียมนี้ ผลิตมาจาก กรดซิตริค ซึ่งนำมาละลายน้ำ แล้วแต่งกลิ่นเติมสี ให้เหมือนน้ำมะนาวแท้ ๆ
กรดซิตริคเป็นกรดเป็นกรดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกรดที่มีความบริสุทธิ์น้อย รวมทั้งมีสาร ปนเปื้อนอยู่ด้วย และขึ้นชื่อว่า เป็นกรด จึงสามารถย่อยสลาย สรรพสิ่งได้ รวมทั้งบรรดาทางเดินอาหาร ของผู้บริโภค เรียกว่า นอกจากไม่ให้คุณประโยชน์แล้ว ยังให้โทษเป็นของแถม อาหารทะเล-สารพิษอาหารทะเลนับได้ว่าเป็นอาหารชนิดหนึ่ง ที่กำลังมาแรงในแง่ของสารพิษเอง ไม่นานมานี้มีข่าวว่า อาหารทะเล ที่ฮ่องกง มีสารพิษเจือปน ใช่ว่าจะเป็นเฉพาะฮ่องกง เมืองไทยเราเองก็มีการปนเปื้อน สารพิษ ในอาหารทะเล ได้เหมือนกัน หากแต่ยังไม่มีข่าวครึกโครม หรือไม่ได้เป็นข่าวดัง เหมือนฮ่องกง สารพิษมาจากการลักลอบทิ้งสารพิษของ
โรงงานอุตสาหกรรมลงไปยังทะเล นอกจากทะเล จะเสื่อมโทรม และเกิดโทษ กับชาวบ้าน ที่อยู่แถบนั้นแล้ว สารพิษเหล่านี้ ยังได้ไปทำลาย ระบบนิเวศวิทยา และสัตว์ทะเล ซึ่งอาศัยในแหล่งนั้น ได้รับสารพิษไปด้วย เมื่อสัตว์ทะเล ถูกจับขึ้นมา ผู้รับสารพิษก็ใช่ใคร ก็ผู้บริโภคนี่แหละ
ตารางที่ 1 รายงานของไนเตรทและไนไตรท์อาหารแห้งต่างๆ แสดงในตาราง อาหาร
สารที่พบ ปริมาณสูงสุดที่เคยพบ(มก./กก.)
เนื้อเค็ม เนื้อเค็ม เนื้อสวรรค์ ไตปลาดิบไส้กรอก
ไนเตรท (NO3-)ไนไตรท์ (NO3)ไนเตรท (NO3-) ไนเตรท (NO3-) ไนเตรท (NO3)
๓๐,๐๐๓ ๑,๗๙๙๑๕,๙๔๐๒,๙๘๖๗๙๐
อาหารตากแห้ง-ไนเตรท, ไนไตรท์ (ดินประสิว)อาหารตากแห้ง มักมีการเติมไนเตรทหรือดินประสิวลงไป เพื่อป้องกันการเจริญ ของเชื้อแบคทีเรีย ถ้าใชัในปริมาณ ที่พอดี ตามที่สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนด ไนไตรทหรือดินประสิว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่โดยทางปฏิบัติแล้ว การเติมดินประสิว ลงไปในอาหารแห้ง เช่นกุนเชียง ไส้กรอก หมูยอ ปลาเค็ม แฮม เบคอน เนื้อจะทำให้อาหาร ตากแห้งเหล่านี้ มีสีน่ารับประทาน ทำให้เนื้อสัตว์ดูมีสีแดง พ่อค้าแม่ค้า จึงมักใช้ ดินประสิว เพื่อปกปิด สภาพของเนื้อสัตว์ ที่อาจผ่านมาหลายวัน ให้มีสีแดง เหมือนสีธรรมชาติ จะได้เป็นเนื้อสัตว์ ที่เพิ่งทำได้ไม่นาน
อันตรายของดินประสิว เกิดจากการที่ไนเตรท,ไนไตรท์จะสลายเป็นไนตริคออกไซด์ ไนตริคออกไซด์ จะทำปฏิกิริยา กับสีของ เม็ดเลือดแดง ของเนื้อสัตว์ ได้ไนโตรโซไมโอโกลบิน ที่เห็นเป็นสีแดง ตามอาหารตากแห้ง โดยทั่วไป แต่ในขณะเดียวกัน จากการทำปฏิกิริยา ระหว่างไนเตรท (ไนไตรท์) กับเนื้อสัตว์ ก็จะได้ไนโตรซามีน ซึ่งตัวนี้แหละ คือสารก่อมะเร็ง แน่นอนว่า ผู้บริโภคอาหารเหล่านี้ เป็นประจำ โอกาส เกี่ยวกับโรคมะเร็ง จึงมีสูง ยังไม่นับอาการอื่น ๆ ที่มีขึ้นได้ เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
ผลไม้แช่อิ่ม-บอแรกช์, โลหะหนักผลไม้แช่อิ่มนับได้เป็นอาหารยอดนิยมชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง มะยม กระท้อน มะดัน และ ผลไม้อื่น ๆ ผลไม้แช่อิ่มที่ สะอาดไร้สารพิษ จะต้องผ่าน กรรมวิธีทางธรรมชาติ แต่ยังมีพ่อค้าแม่ค้า ต้องการให้ผลไม้ กรอบอร่อย จึงหันมาใช้ สารบอแรกซ์ เพื่อเพิ่มความกรอบ และใช้สี ในการทำให้ ผลไม้สวย แต่ถ้าสีที่ใช้ เป็นสีย้อมผ้า จำพวกสีย้อม ตอก กระดาษ ผู้บริโภคจะได้รับโลหะหนัก ที่อยู่ในสีเข้าไปอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น โลหะหนัก จำพวกโครเมียมตะกั่ว ปรอท แคดเมียม แล้วยังจะมีของแถม เพิ่มอีก ได้แก่ขัณฑสกร ทำให้ผลไม้ มีรสหวาน แต่เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ นับได้ว่าเป็นอาหารประเภทหนึ่งที่รวมสารพิษหลายชนิดอยู่ด้วยกัน
บอแรกซ์นับได้ว่าเป็นสารพิษหนึ่งที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหารหลายประเภท โดยเฉพาะอาหารที่ต้องการ ความกรอบ บอเร็กซ์เป็นสารประกอบ ชนิดหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า โซเดียมบอเรต หรือเรียก โดยทั่วไปว่าน้ำประสานทอง ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศให้บอแรกซ์ เป็นสารที่ห้ามใช้ ในอาหาร การจำหน่ายบอแรกซ์ มักอยู่ในรูปของ "ผงกรอบ" หรือ "ผงเนื้อนิ่ม"
อันตรายของบอแรซ์เกิดจากการที่บอแรกซ์เข้าไปสะสมในร่างกาย ในส่วนของพิษเฉียบพลัน เกิดได้กับบุคคล ที่รับสารบอแรกซ์ ในปริมาณมาก ทำให้เกิดอาการ เบื่ออาหาร อาเจียน เกิดการกระตุกของกล้ามเนื้อ ปัสสาวะไม่ออก อาจหมดสติได้ ส่วนพิษสะสมบอแรกซ์ ไปสะสมในกรวยไต หรือสมอง เมื่อรับบอแรกซ์ เรื่อย ๆ และสะสม ในร่างกาย ปริมาณมาก จะทำให้ผิดปกติ และเกิดไตพิการได้
สารกันบูด สารกันบูด เป็นสารพิษชนิดหนึ่งที่นิยมใช้เพื่อไม่ให้อาหารบูดเน่า และยังใช้ได้กับอาหาร ในหลายประเภท สารกันบูด เมื่อใส่ในอาหาร จะช่วยป้องกัน หรือทำลายชนิดอาหารเชื้อจุลินทรีย์ ไม่ให้เจริญเติบโต หรือป้องกันไม่ใช้เชื้อจุลินทรีย์ แพร่กระจายออกไป จึงไม่เกิดการเน่าเสียและอาหารอยู่ได้นาน แต่สารกันบูด ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หากรับสารเหล่าในปริมาณมาก สารกันบูดที่นิยมใช้กันมากได้แก่ เบนโซอิก และ กรดซอร์บิก การใช้สารกันบูด ต้องใช้ในปริมาณที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)กำหนดตามตารางที่ 2
อันดับที่ วัตถุกันเสีย
ชนิดอาหาร
ปริมาณสูงสุดที่ให้ใช้ได้ (มก./กก.)
๑ โปตัสเซียมไนเตรท Potassium Nitrateหรือ โซเดียมไนเตรท Sodium Nitrate
เนื้อสัตว์ทุกชนิด
๕๐๐(คำนวณเป็นโซเดียมไนเตรท)
๒ โปตัสเซียมไนเตรท Potassium Nitrate หรือ โซเดียมไนเตรท Sodium Nitrate
เนื้อสัตว์ทุกชนิด
๒๐๐ (คำนวณเป็นโซเดียมไนเตรท)
๓ กรดเบนโซอิก (Benzoic Acid) หรือ เมธิลฟาราไฮดรอกซิเบนโซเอท(Methy-P-Hydroxbenzoate) หรือ โพรฟิลฟาราไฮดรอกซิเบนโซเอท (Propyl-P-Hydroxbenzoate) หรือโซเดียมเบนโซเอท(Sodium Benzoate) หรือโปตัสเซียมเบนโซเอท (Potassium Ben zoate)
อาหารทุกชนิด
๑.๐๐๐
๔ กรดซอร์บิค (Sorbic Acid)หรือคัลเซียม ซอร์เบท(Calcium Sorbate)หรือ โปตัสเซียม ซอร์เบท (Potassium Sorbate)หรือโซเดียม ซอร์เบท (Sodium Sorbate)
อาหารทุกชนิด ยกเว้นเนื้อสัตว์
๑,๐๐๐
๕ กรดซัลฟูรัส (Sulphurous Acid) หรือโซเดียมเมตาไบซัลไพท์ (Sodium Metabisulphite) หรือโซเดียม ไบซัลไฟท์(Sodium Bisuphtie)หรือโตัสเซียม ไบซัลไฟท์ (Potassium Bisulphite)หรือซัลเฟอร์ไดออกไซด์(Sulphur Dioxide)
ผลไม้และผักแห้งอาหารชนิดอื่นเนื้อสัตว์ น้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายผง น้ำตาลทรายป่น น้ำเชื่อมกลูโคสแห้งน้ำเชื่อมกลูโคส น้ำตาลทรายขาวน้ำตาลทรายบริสุทธิ์
๕๐๐ ๕๐๐ ๒๐๒๐ ๒๐๒๐ ๒๐๗๐๒๐๒๐
๖ กรดโพรบิโธนิค (Propionic Acid )หรือ คัลเซียมโพรพิโนเนท (Calcium Propionate)หรือ โซเดียม โพรพิโอเนท (Sodium Propionate )
อาหารทุกชนิด ยกเว้นเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์เนยแข็ง
๒,๐๐๐๓,๐๐๐
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
อาหารที่มีสารกันบูดมาก เช่นน้ำพริก เครื่องแกงเป็นต้น ที่ขายกันโดยทั่วไป ซึ่งมักทำออกมาในปริมาณมาก เป็นกะละมัง และมักอยู่ไม่ได้นาน หรืออาหาร ของหวาน บรรจุถุง หรือใส่กล่องขาย
การป้องกันสารพิษจากอาหารวิธีการป้องกันสารพิษจากอาหารทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงรับประทานอาหาร ที่เอ่ยนามข้างต้น หรือรับประทาน ให้น้อยที่สุด เพื่อให้การสะสมสารพิษ ในร่างกายอยู่ในปริมาณน้อย หรืออาหารบางประเภทเช่น อาหารทะเล ควรมีการหมุนเวียน รับประทานอาหารประเภทอื่น โดยไม่ให้ซ้ำประเภท เพื่อให้โอกาส ในการรับสารพิษ น้อยลง
คัดลอกมาจาก : วารสารวิศกรรมสิ่งแวดล้อมไทย ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๓ เดือนกันยายน-ตุลาคม ๒๕๔๒.
- เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๖๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ -

แนวคิดการบริหารแบบ White Ocean

หมดเวลาที่จะลงไปแข่งเดือดในน่านน้ำสีเลือด หรือแสวงหาความต่างในน่านน้ำสีคราม เมื่อทะเลทั้งสองสี ต่างก็มีจุด “จบ” ไม่ต่าง
การคิดนอกกรอบกับศัพท์การตลาดถอดด้าม “White Ocean” ของ “ดนัย จันทร์เจ้าฉาย” จะมาเปลี่ยนความคิดผู้ประกอบการไทย ไม่ให้รอวันตายในแม่น้ำสีเดิมอีกต่อไป
White Ocean Strategy” หรือกลยุทธ์ธุรกิจสีขาว คือความคิดสดใหม่ ของผู้บริหารหัวใจ “ธรรมะ” ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด นักการตลาดและประชาสัมพันธ์แถวหน้าของไทย ที่พิสูจน์กลยุทธ์นี้มาแล้วเมื่อครั้งยังสวมหมวกซีอีโอหนุ่มในบริษัทที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ชั้นนำของโลก “เอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย)”
ในวันที่ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ขององค์กรด้วยวัยเพียง 30 ต้นๆ ดนัยเริ่มท้าทายการทำงานในบริษัทข้ามชาติ ด้วยการประกาศนโยบายงดเป็นที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าที่ทำธุรกิจอบายมุขทุกประเภท
สร้างวัฒนธรรม "องค์กรสีขาว" จนเป็นที่ประจักษ์
แม้วันนี้ดนัย จันทร์เจ้าฉาย จะถอยออกมาจาก “เอ็มดีเค” ออกมามีบริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ของตัวเองที่รู้จักกันในชื่อ “DC” แต่เขาก็ยังคงยึดแนวคิดดีๆ บนพื้นฐานความเชื่อทางศาสนามากำหนดแนวทางให้ธุรกิจ
ด้วยชื่อของบริษัทที่มาจากคำว่า “DC - Dharma Communications” นั่นคือ การสื่อสารบนพื้นฐานของความจริง (ธรรมะ) นั่นเอง
"White Ocean คืออะไร" แล้วสำคัญแค่ไหนกับการทำธุรกิจในยุคนี้ นักบริหารที่ประกาศตัวว่าชอบใช้สมองซีกขวา (คิดสร้างสรรค์) มากกว่าซีกซ้าย บอกเราว่าทั้ง "Red Ocean" และ "Blue Ocean” ต่างก็มีจุดอ่อน และนำไปสู่จุดจบได้ไม่ต่างกัน จึงต้องคิดหาน่านน้ำ "สีใหม่" เพื่อไปให้ถึง
คนที่ยังทำธุรกิจในโลกทัศน์ที่คับแคบ ชอบแหวกว่ายในทะเลสีเลือดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แก่งแย่งแบ่งฐานลูกค้ากันเอง องค์กรที่ได้เปรียบ คือองค์กรที่มีศักยภาพสูง มีทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากร เท่านั้น
สำหรับดนัย การแข่งขันใน Red Ocean ผู้ประกอบการต้องทุ่มเททำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามมา และเมื่อหมดทรัพยากร โอกาส“เพลี่ยงพล้ำ” จึงมีสูง
ศาสตร์ใหม่จึงแนะให้ผู้ประกอบหนีไปหา “Blue Ocean” น่านน้ำสีครามคราม อาณาจักรที่ธุรกิจสมัยใหม่อยากว่ายไปให้ถึง ด้วยการคิดนอกกรอบ สร้างตลาดใหม่ ฐานลูกค้าใหม่ สร้างความต้องการใหม่ๆ คิดในสิ่งที่ไม่มีใครคิดมาก่อน เพื่อหนีจากทะเลสีเลือดที่ทำให้ธุรกิจโตแบบค่อยเป็นค่อยไป มาสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดด
แล้วปัญหาอยู่ที่ไหน ดนัยบอกว่า แม้จะอยู่ในตลาด Blue Ocean แต่ทำไปไม่นาน ทุกอย่างก็จะกลับไปสู่จุดเดิม คือเมื่อมีผู้เล่นรายใหม่ๆ อยากเข้ามาร่วมในตลาดเดียวกันมากขึ้น ฉุดตลาดใหม่ให้ไปสู่ Red Ocean อีกครั้ง
“เมื่อไรก็ตามที่เรามองว่า Customer is the king เราจะอยู่ในทะเลสีเลือด เพราะเมื่อเราคิดแบบนี้ได้ คู่แข่งก็คิดได้เช่นกัน สุดท้ายก็แข่งกันอยู่ในตลาดเดิมๆ จึงต้องมองว่าลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า แต่ “ไอเดีย” และความคิดดีๆ ต่างหาก คือ พระเจ้า
แบรนด์ใหญ่ๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จก็ใช้วิธีนี้ อย่าง โซนี่, สตาร์บัคส์ หรือ ไมโครซอฟท์ ใช้พลังของสมองซีกขวามองหาอะไรใหม่ๆ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะ Red Ocean หรือ Blue Ocean ก็ไม่ได้ยั่งยืน
คำตอบไม่ใช่ทั้ง Red Ocean หรือ Blue Ocean แต่เป็น White Ocean
White Ocean” เกิดจากแนวคิดที่มองว่าโลกใบนี้ไม่ได้คับแคบ และไม่ใช่โลกของการแข่งขันเท่านั้น แต่เป็นโลกของโอกาสและความอุดมสมบูรณ์ หากองค์กรร่ำรวยขึ้นมา ก็เป็นผลมาจาก “สังคม” การมีอยู่ขององค์กรจึงไม่ใช่เพื่อตัวองค์กรเอง ไม่ใช่อยู่เพื่อทำกำไรสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือกอบโกยผลประโยชน์ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ต้องเป็นไปเพื่อสร้างผลกำไร สร้างความมั่งคั่งสูงสุดให้กับส่วนรวม
การทำธุรกิจบนแนวทางของ White Ocean ผู้บริหารนักคิดบอกว่า อยู่ที่สมการ 3 P คือ
People (คน)
Planet (ทรัพยากร)
และ Profit (ผลกำไร)
เริ่มจาก “People” หมายรวมถึง พนักงานในองค์กร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างความอยู่รอดให้องค์กร ผู้บริหารต้องสร้างจิตสำนึกที่ดี เพื่อสร้างความแข็งแกร่งภายในองค์กรให้ได้ P ตัวนี้ยังรวมถึงลูกค้าทางตรงและทางอ้อม ไปจนถึงสาธารณชน ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจขยายวงกว้างไปแค่ไหน
ต่อมาคือ “Planet” คือทรัพยากรโดยรวมทั้งหมด ที่ผ่านมาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ขององค์กรได้ใช้ทรัพยากรไปมากน้อยแค่ไหน และทรัพยากรที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์กับสาธารชนได้หรือไม่ มากหรือน้อยอย่างไร
“องค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เราต้องมีทรัพยากรที่เอื้อเฟื้อให้ผู้คนที่รายล้อมองค์กรได้ด้วย ซึ่งอาจไม่ต้องใช้งบประมาณอะไรมากมาย เพียงแต่เป็นการเสียสละบางอย่างที่เรามี เช่น องค์กรเรามีหอประชุมพุทธคยา เราเปิดให้ทำกิจกรรมทางศาสนา 2 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้คนทั่วไปได้เข้ามาศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมได้ที่นี่”
สุดท้ายเพื่อให้องค์กรอยู่รอดได้ก็ต้องมาตอบที่ “Profit” ได้ด้วย
แล้วแนวคิด White Ocean จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้จริงหรือ? ดนัยพิสูจน์มาแล้ว โดยนอกจากปรากฎการณ์ของการทำธุรกิจสีขาว เมื่อ 17 ปีก่อนในบริษัทประชาสัมพันธ์ข้ามชาติ กับนโยบายการงดเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทที่ทำธุรกิจอบายมุข
ก่อนหน้านี้เขาได้ทำการตลาดตรงขายสินค้าสุดหรูผ่านระบบเมลออเดอร์ ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จมาก สร้าง Profit มหาศาล แต่เมื่อตั้งสติได้ ก็พบว่าธุรกิจที่ทำอยู่ กำลังทำให้สังคมฟุ้งเฟ้อ กับการขายสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่มีความจำเป็นกับชีวิต จึงแปรสภาพมาทำสำนักพิมพ์น้ำดี “ดีเอ็มจี” ร่วมจรรโลงสิ่งดีๆ ให้สังคม แทน
สิ่งที่เกิดขึ้น ดนัยเรียกว่า “ธรรมะจัดสรร” คือ การดึงดูดลูกค้าดีๆ องค์กรดีๆ มาร่วมผนึกกำลังให้องค์กรแข็งแกร่ง
“เมื่อเราเข้มแข็งไม่ทำบางสิ่งบางอย่างด้วยความบริสุทธ์ใจ ไม่ใช่เพื่อให้คนอื่นเขาสรรเสริญ แต่เพราะเจตนาที่แท้จริง"
อย่างนโยบายของ ดีซี ที่จะไม่รับพีอาร์กลุ่มเหล้า-บุหรี่ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ มีโครงการของสสส.หน่วยงานรณรงค์ต่างๆ เกิดขึ้น
"สิ่งที่สร้างมาตั้งแต่ต้น ในจุดยืนที่เรามี ทำให้ช่วงหลังๆ เราได้งานพวกนี้มาเยอะมาก
ผมมองว่าเหตุบังเอิญมันไม่มี แต่ทุกสิ่งเกิดจากเราเป็นแบบนี้ ก็ต้องได้ผลแบบนี้ เราได้ทำงานดีๆ ให้กับสังคม โครงการที่ดีและเราก็อยากทำด้วย มีใจที่จะทำ ทุ่มเท จึงมีงานไหลเข้ามาหาเราโดยธรรมชาติ"
ธุรกิจสีขาวไม่ใช่ของใหม่ ดนัยบอกว่า มีองค์กรหลายองค์กรที่ยึดแนวทางนี้ และประสบความสำเร็จมานักต่อนัก บางองค์กรมีอายุหลายร้อยปี
เขายกตัวอย่าง กลุ่มธุรกิจ “TATA” ในประเทศอินเดีย ที่คนไทยกำลังคุ้นหูกับรถยนต์สายพันธุ์อินเดีย “TATA Motor” ทาทา เป็นธุรกิจอันดับ 1 ของประเทศอินเดีย ทำธุรกิจครอบคลุมใน 7 แขนง ทั้ง วิศวกรรม วัตถุดิบ พลังงาน เคมีภัณฑ์ การบริการ สินค้าอุปโภคบริโภค และระบบสื่อสารสารสนเทศ มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี ด้วยแนวคิดการทำธุรกิจสีขาว
ดนัยยกให้กลุ่มทาทา เป็นตัวอย่างที่ดีของ White Ocean กลุ่มผู้บริหารที่นี่เป็นผู้อพยพชาวเปอร์เซียที่เข้าไปทำธุรกิจในอินเดีย ตอนแรกถูกต่อต้านไม่ต้อนรับ แต่ ทาทา ประกาศตั้งแต่แรกว่าการเข้ามาอยู่ในอินเดียของพวกเขา ไม่ได้มาเพื่อแบ่งแย่งทรัพยากร แต่มาเพื่อทำให้สังคมอินเดียเจริญรุ่งเรือง
"ในกลุ่มธุรกิจของทาทาจึงมีบริษัทที่ทำธุรกิจเพื่อสังคมมาโดยตลอด แนวคิดของเขาคือถ้าเราได้มาหนึ่งส่วน ก็ต้องคืนกลับสังคมหลายส่วน เขาจึงไม่มีอะไรติดค้างกับสังคม ธุรกิจจึงอยู่มาได้อย่างยั่งยืน มากกว่า 300 ปี"
ดนัยบอกว่า ในบ้านเราเองก็มีตัวอย่างที่ดีของธุรกิจสีขาว ที่ไม่แตะกับอบายมุขทั้งปวง เช่น เอสแอนด์พี ที่ประสบความสำเร็จได้ ในร้านอาหารเอสแอนด์พี ไม่มีเสิร์ฟเหล้า-เบียร์ ทำธุรกิจบนแนวทางที่ดี ทำให้มีความมั่นคงเรื่อยมา
หรืออย่าง “วิริยะประกันภัย” บริษัทคนไทยที่อยู่มานานกว่า 60 ปี
เจ้าของสโลแกน “ความเป็นธรรม คือ นโยบาย”
“วิริยะเป็นเบอร์ 1 ของธุรกิจประกันภัยของไทย แต่เขาไม่ได้ภาคภูมิใจกับการเป็นเบอร์ 1 หากภูมิใจกับการที่มีผลกำไรที่ต่ำที่สุด นั่นเพราะธุรกิจของพวกเขาเกิดขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงให้กับคนในสังคม จึงไม่ได้ต้องการกำไรมากมาย เท่านี้เขาก็ภูมิใจแล้ว พอไปเจอเขาเราดูเด็กไปเลย เขาทำแบบนี้มาถึง 60 ปีแล้ว”
ดนัยบอกว่า หากธุรกิจมีจุดเริ่มต้นที่ถูกต้อง ก็จะขยายตัวเองออกไปได้ ขอเพียงต้องแน่วแน่ และให้ตั้งใจว่าการเกิดมาของธุรกิจเราไม่ใช่แค่ตัวเรา ต้องมองสมการทั้ง 3 ส่วนให้สมดุล ดูว่าสินค้า บริการ ทรัพยากร ขององค์กรสามารถทำให้เกิดประโยชน์กับสังคมโดยรวม มากแค่ไหน คืนกำไรให้สังคม ชุมชน ธรรมชาติ หรือไม่
“โลกคือความอุดมสมบูรณ์ไม่ใช่ความคับแคบ มีที่ให้เรายืนอยู่เราอยู่ในที่ใหญ่ ไม่ใช่เล็กๆ เมื่อตั้งต้นวางแผนธุรกิจต้องมองระยะยาว มองข้ามช็อตไปเป็นสิบๆ ปี ว่าองค์กรของเราควรอยู่ยั่งยืน ด้วยการทำธุรกิจสีขาวหรือไม่ เพราะเราเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม”
นี่คือแนวคิดใหม่ๆ ที่มีคนไทยบัญญัติศัพท์ไว้ เพื่อให้ธุรกิจหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่า “การมีอยู่ขององค์กรสามารถสร้างอะไรให้เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไร”
Tags : White Oceanดนัย จันทร์เจ้าฉาย
วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

สาว ๆ ที่ชอบดื่มน้ำมะพร้าวเป็นชีวิตจิตใจ

สาว ๆ ที่ชอบดื่มน้ำมะพร้าวเป็นชีวิตจิตใจคงไม่ปลื้มนักหากมีใครมาบอกว่า "ในขณะมีประจำเดือนอย่าริไปดื่มน้ำมะพร้าวเป็นอันขาด อ้าว...ไม่รู้รึว่าน้ำมะพร้าวเป็นของแสลงสำหรับผู้ที่่กำลังมีประจำเดือน เชียวนะ" เรื่องนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่รู้ล่ะ แต่ก็ทำเอาสาว ๆ บางคนดื่มน้ำมะพร้าวไม่คล่องคอขึ้นมาทันทีเลยค่ะแต่ช้าก่อน...ก่อนที่คุณจะตัดใจจากน้ำมะพร้าวที่แสนชื่นชอบ โปรดอ่านข้อความนี้สักนิดค่ะ ความจริงแล้วน้ำมะพร้าวก็มีลักษณะคล้ายกับน้ำหวานหรือเครื่องดื่มธรรมดาทั่วไป ซึ่งไม่มีผลกระทบต่อการมีประจำเดือนแต่อย่างใด แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางคนที่แพ้น้ำมะพร้าว (ขอย้ำว่าเป็นเฉพาะบุคคลเท่านั้นค่ะ) เนื่องจากในน้ำมะพร้าวมีสารประกอบหรือฮอร์โมนบางอย่างซึ่งอาจทำให้บางคนเกิด อาการแพ้ได้ แล้วบังเอิญว่าอาการแพ้นั้นเกิดในระหว่างช่วงมีประจำ เดือน เรียกว่าประจวบเหมาะกันพอดี จึงทำให้เข้าใจผิดว่าน้ำมะพร้าวเป็นของแสลงสำหรับผู้ที่กำลังมีประจำเดือนค่ะอ่านมาถึงบรรทัดนี้ สาว ๆ ที่ชอบดื่มน้ำมะพร้าวคงยิ้มออกแล้วนะคะ เพราะตราบใดที่คุณไม่ได้แพ้สารบางอย่างในน้ำมะพร้าวก็สบายใจได้เลยว่า คุณสามารถดื่มน้ำมะพร้าวที่แสนโปรดได้ในทุกโอกาสแม้แต่ยามที่มีประจำเดือนค่ะ นอกจากไม่ใช่ของแสลงแล้ว น้ำมะพร้าวเย็น ๆ กลิ่นหอมละมุนยังช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดีเยี่ยมอีกด้วยค่ะ ♦